วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559

อินเทอร์เน็ต

ความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ต

  อินเทอร์เน็ต (Internet)  หมายถึง กลุ่มของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ฝดดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคม สำหรับการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องจะต้องมีการกำหนดหรือข้อตกลงหรือวิธีการสื่อสารจึงจะต้องกำหนดหรือข้อตกลงหรือวิธีการสื่อสารจึงจะต้องกำหนดโพรโทคอลของคอมพิวเตอร์จะใช้มาตรฐานการสื่อสารที่เรียกว่า โพรโทคอลทีซีพี/ไอพี   
    คอมพิวเตอร์จะมีหมายเลขไอพี (IP Address)ซึ่งประกอบด้วยชุดของตัวเลข 4 ชุด โดยมีจุดคั่นตัวเลขแต่ละชุดเช่น 123.456.20.3 การกำหนดใช้เลขฐานสิบในการอ้างอิงเครื่องยากในการจดจำจึงมีการกำหนดเป็นลักษณะคำภาษาอังกฤษสั้นๆ โดยแต่ละส่วนจะมีความหมายเฉพาะและคั่นด้วยเครื่องหมายจุด ซึ่งเรียกว่า ชื่อโดเมน (domain name) เช่น

ตัวอย่างโดเมน

พัฒนาการของอินเทอร์เน็ต

พ.ศ.2500  โซเวียตปล่อยดาวเทียม Sputnik ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ตระหนักถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
   พ.ศ.2512  กองทัพสหรัฐต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทางการทหารและความเป็นไปได้ในการถูกโจมตีด้วยอาวุธปรมาณูหรือนิวเคลียร์ การถูกทำลายล้างศูนร์คอมพิวเตอร์และระบบการสื่อาสรข้อมูล อาจทำให้เกิดปัญหาทางการรบและในยุคนี้ ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีหลากหลายมากมายหลายแบบ ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร และโปรแกรมกันได้จึงมีแนวคิดในการวิจัยระบบที่สามารถเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบที่แตกต่างกันได้ตลอดจนสามารถรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้อย่างไม่ผิดพลาด โดยช่วงแรกเป็นการพัฒนาเพื่อการสื่อสารทางการทหารและต่อมาได้พัฒนาเป็น INTERNET ในที่สุด แม้ว่าคอมพิวเตอร์บางเครื่องหรือสายรับส่งสัญญาณเสียหายหรือถูกทำลาย กระทรวงกลาโหมอเมริกา (DOD = Department Of  Defense) ได้ให้ทุนที่มีชื่อว่า DARPA (Defense Advanced Research Project Agency) ภายใต้การควบคุมของ Dr J.C.R Licklider ได้ทำการทดลองระบบเครือข่ายที่มีชื่อว่า DARPA Network และต่อมาได้กลายสภาพเป็น ARPANet (Advanced Research Poject Agency Network) เป็นโครงการวิจัยทางการทหารของกระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นมีการนำมาใช้เพื่อการศึกษาโดยเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระหว่างสถาบัน 4 แห่งคือ มหาวิทยาลัยแคลิเฟอร์เนียที่ซานตา บาร์บารา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ลอสแอนเจอลิส มหาวิทยาลัยยูทาห์ และสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด ซึ่งคอมพิวเตอร์จากสถาบันทั้ง 4 แห่งเป็นคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันและใช้ระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน
   พ.ศ.2525 มีการพัฒนามาตรฐานในการรับและส่งข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพิ่มยิ่งขึ้น โดยใช้โพรโทคอลทีซีพี/ไอพี ในการรับและส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตที่นำมาใช้จนถึงปัจจุบัน
   พ.ศ.2528 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกาได้ให้เงินทุนสร้างศูนย์ซูเปอร์ตอมพิวเตอร์ 6 แห่งและใช้ชื่อว่า เอ็นเอสเอฟเน็ต
   พ.ศ.2529 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกาพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่องานด้านการศึกษาและการค้นคว้าทางิทยาศาสตร์
   พ.ศ.2530 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ได้ติต่อขอใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น โดยอาศัยการร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศออสเตรเลียตามโครงการไอดีพี ซึ่งการเชื่อมโยงขณะนั้นใช้สายโทรศัพท์ทำให้ส่งข้อมูลได้ช้าและไม่ถาวร จากนั้นมีการรวมตัวกันของอาร์พาเน็ตและเอ็นเอสเอฟเน็ต ทำให้มีการใช้เอ็นเอสเอฟเน็ตแทนอาร์พาเน็ต ส่งผลให้มีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากเครือข่ายอื่นๆ เข้าไว้ด้วยกันจนเกิดเป็นอินเทอร์เน็ต
   พ.ศ.2533 อาร์พาเน็ตไม่สามารถที่จะรองรับภาระที่เป็นโครงข่ายหลักของระบบได้ อาร์พาเน็ตจึงได้ยุติลงและเปลี่ยนไปใช้เอ็นเอสเอฟเน็ตและเครือข่ายอื่นๆ แทน ส่วนประเทศไทยเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้จัดทำเครือข่ายไทยสาร ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อของสถาบันการศึษาเพื่อจุดประสงค์หลักในการวิจัยและส่งเสริมการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมในเครือข่ายไทยสาร ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
   พ.ศ.2535 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดตั้งเครือข่ายเพื่อเชื่อโยงเข้ากับเครือข่ายยูยูเน็ตของบริษัทยูยูเน็ตเทคโนโลยี จำกัด รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสถาบันการศึกษาหลายแห่งในประเทศไทยได้ขอเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกเครือข่ายนี้ว่า เครือข่ายไทยเน็ตประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 4 สถาบัน คือ สำนักวิทยบริการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เละมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ในปีเดียวกับที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติได้จัดตั้งเครือข่ายของยูยูเน็ตและได้เชื่อมโยงกับสถาบันต่างๆ ในปัจจุบัน
   พ.ศ.2537 ความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตจากภาคเอกชนมีมากขึ้น การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) จึงร่วมมือกับบริษัทเอกชนเปิดบริการอินเทอร์เน็ตให้แก่บุคคลและผู้สนใจสมัครเป็นสมาชิก ตั้งขึ้นในรูปบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ เรียกกันทั่วไปว่า ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือไอเอสพี
   พ.ศ.2538 บริษัทอินเทอร์เน็ตไทยแลนด์เปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ประชาชนทั่วไปในเชิงพาณิชย์และเมื่ออินเทอร์เน็ตมีผู้ใช้บริการมากขึ้นจึงเกิดบริษัทอื่นๆ เปิดให้บริการเพิ่มขึ้น
   อินเทอร์เน็ตพัฒนาจากเครือข่ายที่ใช้ในงานวิจัยการขยายตัวของผู้ใช้เครือข่ายระยะแรกจึงจำกัด ต่อมามีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้น เช่น
   พ.ศ.2513 เริ่มมการใช้อีเมลเป็นครั้งแรก
   พ.ศ.2516 เริ่มมีการสนทนาผ่านบีบีเอส ซึ่งเป็นการสนทนาผ่านโปรแกรมเทอร์มินอล โดยผู้ใช้ต่อเข้ามาที่เครื่องบริการ เพื่อสนทนา ฝากข้อความหรือส่งอีเมลถึงกัน
   พ.ศ.2531 เริ่มมีการใช้รูปแบบการสนทนาผ่านเครือข่ายในลักษณะที่ผู้ใช้ต่อเข้ามาที่เครื่องบริการเพื่อสนทนาในห้องคุยที่มีอยู่ในระบบตามความสนใจเรียกว่า ไออาร์ซี
   พ.ศ.2534 มีการคิดค้นการให้บริการข้อมูลผ่านเวิลด์ไวด์เว็บ โดยใช้เว็บเบราเซอร์ในการใช้และเข้าถึงข้อมูล หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มเห็นความสำคัญ และเข้าร่วมการใช้บริการบนอินเทอร์เน็ต
   พ.ศ.2539 เริ่มมีการสนทนาผ่านเครือข่ายแบบระบุผู้สนทนาได้โดยตรง เรียกว่า การส่งข้อความทันทีหรือ แชท
3.การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
สปริง เน้นตลาดแอพฯข้ามแพลตฟอร์ม รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการ หวังเป็นกรุ๊ปแชตที่ดีที่สุด
นายสุชิน รัตนศิริวิไล ประธานบริษัท สปริง เทเลคอม เปิดเผยว่า โทรศัพท์มือถือรุ่น สมายด์ ของสปริง ได้รับการยอมรับทั้งตัวเครื่องและแอพพลิเคชั่นที่ทันสมัย มีผู้ใช้จำนวนมากดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น ไปใช้งานจากหลากหลายอุปกรณ์
ดังนั้น สปริงจะเป็นบริษัทคนไทยที่ผลิตแอพพลิเคชั่นร่วมทำงานกับฮาร์ดแวร์ของทุกค่าย และเชื่อมต่อกับทุกผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต โดยจะเน้นการเป็นกรุ๊ปแชตที่ดีที่สุด หรือ  A Better Group Messenger ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน
นโยบายของสปริงต่อการพัฒนาแอพ พลิเคชั่นทั้งในปัจจุบันและอนาคต จะต้องเป็นโปรแกรมที่เชื่อมการทำงานทุกแพลตฟอร์ม ทุกคนสามารถคุยกันได้ผ่านเครือข่ายโดยไม่มีขีดจำกัด การหาเพื่อนใหม่จะง่ายดาย เชื่อมต่อกับทุกโซเชียลมีเดีย  โดยคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคล รวมถึงดึงภาคธุรกิจการค้ามาให้สิทธิประโยชน์กับผู้ใช้โปรแกรม โดยเน้นความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก
นายยุคลอาจ ชาญพานิชกิจการ รองประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท สปริง เทเลคอม เปิดเผยว่า ในปัจจุบันผู้ใช้แอพพลิเคชั่นสปริง โดยเฉลี่ยจะใช้งานประมาณวันละ
ชั่วโมง โดยมีกลุ่มกิจกรรมที่มีการใช้งานในแต่ละวันกว่า 2,000 กลุ่ม ทำให้การทำธุรกรรมผ่านสปริง มีมากกว่า ล้านครั้งต่อวัน หากสปริงเปิดการทำงานในทุกระบบปฏิบัติการ ทั้งแอนดรอยด์  ไอโอเอส  บีบี ไอแพด วินโดว์สโมบาย รวมถึงการทำงานผ่านเว็บในคอมพิวเตอร์ปกติ ที่จะทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีแต่โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ก็จะทำให้การใช้งานของสปริงเพิ่มมากขึ้

ซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ จะเปลี่ยนแปลงหน้าตาการตอบโต้ หรือยูสเซอร์ อินเตอร์เฟซ แบบใหม่ ใช้งานง่ายกว่าเดิม จุดเด่นอยู่ที่กรุ๊ปแชต รองรับสมาชิกภายในกลุ่มและยังเลือกกลุ่มได้หลากหลาย  

เลขที่อยู่ไอพี

เลขที่อยู่ไอพี ( IP address ) หรือชื่ออื่นเช่น ที่อยู่ไอพี, หมายเลขไอพี, เลขไอพี, ไอพีแอดเดรส คือหมายเลขที่ใช้ในระบบเครือข่ายที่ใช้โพรโทคอลอินเทอร์เน็ต(IP) คล้ายกับหมายเลขโทรศัพท์ ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเราท์เตอร์ เครื่องแฟกซ์ จะมีหมายเลขเฉพาะตัวโดยใช้เลขฐานสอง จำนวน 32 บิต โดยการเขียนจะเขียนเป็นชุด 4 ชุด โดยแต่ละชุดจะใช้เลขฐานสองจำนวน 8 บิต ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับระบบเลขฐานสิบ จึงมักแสดงผลโดยการใช้เลขฐานสิบ จำนวน 4 ชุด ซึ่งแสดงถึงหมายเลขเฉพาะของเครื่องนั้น สำหรับการส่งข้อมูลภายในเครือข่ายแลน แวนหรือ อินเทอร์เน็ต โดยหมายเลขไอพีมีไว้เพื่อให้ผู้ส่งรู้ว่าเครื่องของผู้รับคือใคร และผู้รับสามารถรู้ได้ว่าผู้ส่งคือใคร
ตัวอย่างของหมายเลขไอพี ได้แก่ 207.142.131.236 ซึ่งเมื่อแปลงกลับมาในรูปแบบที่อ่านได้จะเรียกว่า โดเมนแอดเดรส ผ่านทางระบบการตั้งชื่อโดเมน (Domain Name System) ซึ่งหมายเลขนั้นหมายถึง http://www.wikipedia.org

o 1.1 คลาส
o 1.2 ไอพีส่วนตัว (Private IP)
o 1.3 ไอพีสาธารณะ (Public IP)
o 1.4 การแปลงไอพี (NAT)
• 2 เลขที่อยู่ไอพีรุ่น 6

เลขที่อยู่ไอพีรุ่น 4
ระบบตัวเลขไอพีที่ใช้ในปัจจุบันเป็นระบบ เลขที่อยู่ไอพีรุ่น 4 (IPv4) ซึ่งจะเป็นระบบ 32 บิตหรือสามารถระบุเลขไอพีได้ตั้ง 0.0.0.0 ถึง 255.255.255.255 (ตัวเลขบางตัวเป็นไอพีสงวนไว้สำหรับหน้าที่เฉพาะเช่น 127.0.0.1 จะเป็นการระบุถึงตัวอุปกรณ์เองไม่ว่าอุปกรณ์นั้นจะมีไอพีสื่อสารจริงๆ เป็นเท่าไร) อย่างไรก็ตามจากระบบตัวเลขที่จำกัดนี้สามารถเพิ่มขยายด้วยเทคนิคของไอพีส่วนตัว (private IP) กับการแปลงไอพี (Network Address Translation หรือ NAT) 684
คลาส

เลขที่อยู่ไอพีรุ่น 4 ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น Class ชนิดต่างๆเพื่อจุดประสงค์ในการใช้งานต่างๆกันดังต่อไปนี้
1. คลาส A เริ่มตั้งแต่ 1.0.0.1 ถึง 127.255.255.254
2. คลาส B เริ่มตั้งแต่ 128.0.0.1 ถึง 191.255.255.254
3. คลาส C เริ่มตั้งแต่ 192.0.1.1 ถึง 223.255.254.254
4. คลาส D เริ่มตั้งแต่ 224.0.0.0 ถึง 239.255.255.255 ใช้สำหรับงาน multicast
5. คลาส E เริ่มตั้งแต่ 240.0.0.0 ถึง 255.255.255.254 ถูกสำรองไว้ ยังไม่มีการใช้งาน
สำหรับไอพีในช่วง 127.0.0.0 ถึง 127.255.255.255 ใช้สำหรับการทดสอบระบบ
ไอพีส่วนตัว (Private IP)

ไอพีส่วนตัวมีไว้สำหรับใช้งานภายในองค์กรเท่านั้น ไม่ว่าองค์กรนั้นจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กเพียงใดก็ตาม ได้แก่
1. ไอพีส่วนตัว คลาส A เริ่มตั้งแต่ 10.0.0.0 ถึง 10.255.255.255 สับเน็ตมาสต์ที่ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.0.0.0 ขึ้นไป
2. ไอพีส่วนตัว คลาส B เริ่มตั้งแต่ 172.16.0.0 ถึง 172.31.255.255 สับเน็ตมาสต์ที่ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.240.0.0 ขึ้นไป
3. ไอพีส่วนตัว คลาส C เริ่มตั้งแต่ 192.168.0.0 ถึง 192.168.255.255 สับเน็ตมาสต์ที่ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.255.0.0 ขึ้นไป
ไอพีส่วนตัวข้างต้นถูกกำหนดให้ไม่สามารถนำไปใช้งานในเครือข่ายสาธารณะ (Internet)
ไอพีสาธารณะ (Public IP)
ไอพีสาธารณะมีไว้สำหรับให้แต่ละองค์กร แต่ละบุคคล ต่างก็สามารถเชื่อมต่อเข้าหากัน รับส่งข้อมูลระหว่างกันผ่านเครือข่ายสาธารณะได้
การแปลงไอพี (NAT)
เนื่องจากเมื่อแต่ละองค์กร แต่ละบุคคล ต่างก็ใช้งานไอพีส่วนตัวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถติดต่อกับเครือข่ายสาธารณะ (Internet) ได้ จึงทำให้องค์กรเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการแปลงไอพี เพื่อช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะได้ นอกจากนี้ไอพีสาธารณะเองก็มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เมื่อแต่ละองค์กร แต่ละบุคคลต้องการที่จะเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายสาธารณะจะทำให้เกิดปัญหาไอพีสาธารณะไม่พอเพียงต่อการใช้งาน ดังนั้นเพื่อให้เกิดการใช้งานไอพีสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมีการแปลงไอพีส่วนตัวของแต่ละองค์กรให้สามารถแบ่งปันกันใช้งานไอพีสาธารณะที่มีอยู่อย่างจำกัด (Overloaded NAT) ในแง่ของความปลอดภัย การแปลงไอพีสามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบเครือข่ายได้ เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์จากเครือข่ายสาธารณะทั้งหลาย จะไม่สามารถรู้จักไอพีที่แท้จริงของคอมพิวเตอร์ในองค์กร ทำให้ความเสี่ยงที่คอมพิวเตอร์ภายในองค์กรจะถูกโจมตีในแง่ต่างๆลดลงไปด้วย
เลขที่อยู่ไอพีรุ่น 6
เลขที่อยู่ไอพีรุ่น 6 (IPv6) ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยจุดประสงค์หลักในการแก้ปัญหาการขาดแคลนจำนวนหมายเลขไอพีซึ่งกำหนดโดยมาตรฐานเลขที่อยู่ไอพีรุ่น 4 ซึ่งในมาตรฐานของรุ่น 6 นี้จะใช้ระบบ 128 บิตในการระบุหมายเลขไอพี


https://guupetchza.wordpress.com

ชื่อโดเมน


ชื่อโดเมน หรือ โดเมนเนม (อังกฤษdomain name) หมายถึง ชื่อที่ใช้ระบุลงในคอมพิวเตอร์ (เช่น เป็นส่วนหนึ่งของที่อยู่เว็บไซต์ หรืออีเมลแอดเดรส) เพื่อไปค้นหาในระบบโดเมนเนมซีสเทมเพื่อระบุถึงเลขที่อยู่ไอพี ของชื่อนั้น ๆ เป็นชื่อที่ผู้จดทะเบียนระบุให้กับผู้ใช้เพื่อเข้ามายังเว็บไซต์ของตน บางครั้งอาจใช้ "ที่อยู่เว็บไซต์" แทนได้
ชื่อโดเมนเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เนื่องจากไอพีแอดเดรสนั้นจดจำได้ยากกว่า และเมื่อการเปลี่ยนแปลงไอพีแอดเดรส ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือจดจำไอพีแอดเดรสใหม่ ยังคงใช้โดเมนเนมเดิมได้ต่อไป
อักขระที่จะใช้ในการตั้งชื่อโดเมนเนม ได้แก่ ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวเลข และ "-" (ยัติภังค์) คั่นด้วย "." (มหัพภาค) โดยปกติ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร และลงท้ายด้วยตัวอักษรหรือตัวเลข มีความยาวตั้งแต่ 1 ถึง 63 ตัวอักษร ตัวอักษรตัวใหญ่เล็กถือว่าเหมือนกัน
1 ไอพีแอดเดรส สามารถใช้โดเมนเนมได้มากกว่า 1 โดเมนเนม และหลาย ๆ โดเมนเนมอาจจะใช้ไอพีแอดเดรสเดียวกันได้
== ตัวอย่าง ด

การจดทะเบียนชื่อโดเมน

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
  • การจดทะเบียนโดเมนประเทศ
การจดทะเบียนโดเมนเนมภายในประเทศจะได้นามสกุล โดเมน เป็น .จดโดเมน .co.th, .or.th, .ac.th, in.th เช่นนามสกุล ".CO.TH" มีคนจดมากกว่าชนิดอื่นๆ เป็นเว็บไซต์ของบริษัท ห้างร้านโดยทั่วไป การจดทะเบียนชื่อโดเมน ต้องเป็นชื่อเดียวกับชื่อบริษัท หรือชื่อย่อของชื่อบริษัท ซึ่งจดทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์ ดังนั้นการจดทะเบียนจึงต้องใช้สำเนาใบทะเบียนการค้า หรือสำเนาใบรับรอง หรือสำเนาใบ ภ.พ. 20 เป็นหลักฐาน
โดเมน นามสกุล .OR.TH ใช้ทำเว็บไซต์ของส่วนราชการ และชื่อโดเมนต้องเป็นชื่อขององกร หรือตัวย่อของชื่อองค์กรนั้นๆ ต้องใช้สำเนาเอกสารทางราชการเป็นหลักฐานการจดทะเบียน โดเมน นามสกุล .AC.TH เป็นเว็บไซต์ของสถานศึกษาต่างๆ ชื่อของโดเมนที่จดทะเบียนต้องเป็นชื่อของสถานศึกษานั้นๆ หรือชื่อย่อของชื่อสถานศึกษา ใช้สำเนาเอกสารการขออนุญาตก่อตั้งสถานศึกษาเป็นหลักฐาน โดเมน นามสกุล .IN.TH เป็นเว็บไซต์ของบุคคลธรรมดาโดยทั่วไป ชื่อโดเมนจะใช้ชื่ออะไรก็ได้ ใช้สำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาใบขับขี่เป็นหลักฐานการจดทะเบียน โดเมน นามสกุล .GO.TH เป็นเว็บไซต์ของส่วนราชการของประเทศไทย โดยปกติจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ โดเมน นามสกุล NET.TH เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับบริษัทที่เกียวกับระบบ Network หรือ ISP (ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต) ในประเทศไทย การจดทะเบียนโดเมนเนมภายในประเทศ มีกฏระเบียบมาก ต้องจดทะเบียนโดเมนเนม แบ่งประเภทตามที่เขาแบ่งไว้ จึงจดทะเบียนโดเมนเนม ได้ยากกว่าการจดทะเบียนโดเมนเนม ต่างประเทศ ปัจจุบันการจดทะเบียนโดเมนเนม ภายในประเทศ ยังถือว่ามีน้อยมาก เนื่องจากการจดทะเบียนโดเมนเนม มีข้อยุ่งยากดังที่กล่าวข้างต้น และมูลค่าของเว็บไซต์มักจะถูกมองว่ามีค่าน้อยกว่าการจดทะเบียนโดเมนเนม ที่มีนามสกุลเป็น".COM" กับศูนย์จดทะเบียนโดเมนเนม ต่างประเทศ ทั้งๆ ที่มีความสามารถเหมือนกัน
  • การจดทะเบียนโดเมนในประเทศ
การจดทะเบียนโดเมนเนมต่างประเทศจะได้นามสกุล โดเมน เป็น .COM .NET .ORG โดเมน นามสกุล .COM ใช้ทำเว็บไซต์ของบริษัท ห้างร้านโดยทั่วไป รวมทั้งเว็บไซต์ส่วนตัว และมีบางครั้งนำไปใช้ทำเว็บไซต์ (web site) ประเภทอื่นๆ ด้วย โดเมน นามสกุล .NET ใช้ทำเว็บไซต์เกี่ยวกับระบบเน็ตเวิร์ค (network) ของคอมพิวเตอร์ หรือเว็บไซต์บริการอินเทอร์เน็ต แต่บางครั้งก็นำไปใช้ด้านอื่นด้วย โดเมน นามสกุล .ORG ใช้ทำเว็บไซต์ของส่วนราชการ บางครั้งก็มีการจดทะเบียนนำไปใช้กับเว็บไซต์ประเภทอื่นด้วย ปัจจุบันได้เกิด โดเมน ชนิดอื่นขึ้นอีกมากมาย เนื่องจากว่ามีการพยายามแบ่งประเภทเว็บไซต์ออกไป และขณะเดียวกันชื่อ โดเมน ก็เหลือน้อยลง ดังมีรายละเอียดดังนี้ โดเมน นามสกุล .cc เป็น โดเมน ที่คาดว่าน่าจะมีความนิยมทัดเทียมกับ .com ในเวลาอันใกล้นี้เนื่องจาก .com แทบจะไม่มีชื่อดีๆ เหลืออยู่แล้ว การนำไปใช้งานสามารถนำไปใช้กับเว็บไซต์ธุรกิจโดยทั่วไปได้ โดเมน นามสกุล .biz สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจโดยทั่วไป เป็น โดเมน น้องใหม่ พึงเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มธุรกิจที่เป็น ธุรกิจจริงๆ ซึ่งก็ได้รับความสนใจและเป็นที่รู้จักค่อนข้างเร็ว โดเมน นามสกุล .info ใช้สำหรับเว็บไซต์ที่ให้รายละเอียดเกียวกับข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลของประเทศต่างๆ เป็นต้น โดเมน นามสกุล .ws เป็นชนิดของชื่อเว็บไซต์หนึ่งที่พยามยามสร้างขึ้นมาเพื่อแข่งขันกับ .cc การนำไปใช้งานสามารถนำไปใช้ได้กับทุประเภทเว็บไซต์ โดเมน นามสกุล .tv เป็นเว็บไซต์ของสื่อโฆษณาต่างๆ โดยเฉพาะสื่อทางด้านภาพและเสียง ปัจจุบันค่อนข้างได้รับความนิยมจากเว็บไซต์ประเภทสื่อพอสมควร แม้ว่าปัจจุบันจะมีโดเมนถูกนำเสนอออกมาหลายประเภท หลายชนิดก็ตาม แต่ .com .net และ .org ก็ยังถือว่าเป็นโดเมนมาตราฐานสากล ที่ได้รับความนิยมและยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ชื่อโดเมน

บริการบนอินเทอร์เน็ต

world-wide-web_~sca0022

1. จดหมายอิเลคทรอนิกส์ (Electronic Mail)

จดหมายอิเลคทรอนิกส์หรือที่เรียกกันว่า E-mailเป็นการสื่อสารที่นิยมใช้กันมากเนื่องจากผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลที่ต้องการได้รวดเร็ว ภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะอยู่ในที่ทำงานเดียวกันหรืออยู่ห่างกันคนละมุมโลกก็ตามนอกจากนี้ยังสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยมาก
                 องค์ประกอบของ e-mail address ประกอบด้วย 
  1. ชื่อผู้ใช้ (User name) 
                2. ชื่อโดเมน Username@domain_name 
                การใช้งานอีเมล สามารถแบ่งได้ดังนี้ คือ 
               1. Corporate e-mail คือ อีเมล ที่หน่วยงานต่างๆสร้างขึ้นให้กับพนักงานหรือบุคลากรในองค์กรนั้น เช่น u47202000@dusit.ac.th คือ e-mail ของนักศึกษาของสถาบันราชภัฏสวนดุสิต เป็นต้น 
               2. Free e-mail คือ อีเมล ที่สามารถสมัครได้ฟรีตาม web mail ต่างๆ เช่น Hotmail, Yahoo Mail, Thai Mail และ Chaiyo Mail

5image1

2. การสืบค้นข้อมูลแบบเครือข่ายใยแมงมุม (Wold Wide Web : WWW)

 เป็นการสื่อสารที่เติบโตเร็วที่สุดในอินเตอร์เน็ต ด้วยเหตุผลที่สำคัญคือง่ายต่อการใช้งานและสามารถนำเสนอข้อมูลกราฟิกได้ การใช้ World Wide Web เปรียบเสมือนการเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดโดยหนังสือที่มีให้อ่านจะสมบูรณ์มากกว่าหนังสือทั่วไป เพราะสามารถฟังเสียงและดูภาพเคลื่อนไหวประกอบได้ นอกจากนี้ยังสามารถโต้ตอบกับผู้อ่านได้ด้วย ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งคือข้อมูลต่าง ๆ จะมีการเชื่อมโยงถึงกันได้ด้วยคุณสมบัติ
ของ HyperText Link
                  WWW คืออะไร การใช้งานอินเตอร์เน็ตแบบ WWW (World Wide Web) เป็นเครื่องมือในการ
ให้บริการข้อมูลข่าวสารบนอินเตอร์เน็ตที่ใช้ได้ง่าย สามารถชมได้ทั้งภาพนิ่ง เสียง VDO แม้แต่ส่ง Pager หรือจะสั่ง Pizza ก็ได้
                  ในปัจจุบันมีโปรแกรมในลักษณะของ WWW อยู่หลายตัวและหลายเวอร์ชั่นมากมาย แต่ละตัว
จะเหมาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์หลากหลายชนิด โปรแกรมที่จะพาผู้ใช้เข้าถึงบริการในลักษณะของ WWW เรียกว่า “บราวเซอร์” (Browser) ตามลักษณะของการใช้บริการดังกล่าวที่ดูเสมือนการเปิด หนังสือดู ไปทีละหน้า เหมือนการใช้ Online Help นั่นเอง 
3. การโอนย้ายข้อมูล (File Transfer Protocol : FTP)
 การโอนย้ายข้อมูล หรือที่นิยมเรียกกันว่า FTP เป็นการสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้กันมากพอสมควรในอินเตอร์เน็ต โดยอาจใช้เพื่อการถ่ายโอนข้อมูลรวมถึงโปรแกรมต่าง ๆ ทั้งที่เป็น freeware sharewareจากแหล่ง ข้อมูลทั้งหลายมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ใช้งานอยู่ ปัจจุบันมีหน่วยงานหลายแห่งที่กำหนดให้ Serverของตนทำหน้าที่เป็น FTP site เก็บรวบรวมข้อมูลและโปรแกรมต่าง ๆ สำหรับให้บริการ FTP ที่นิยมใช้กันมากได้แก่WS_FTP, CuteFTP   
การโอนย้ายไฟล์สามารถแบ่งได้ดังนี้ คือ 
                1. การดาวน์โหลดไฟล์ (Download File ) การดาวน์โหลดไฟล์ คือ การรับข้อมูลเข้ามายังเครื่อง
คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ ในปัจจุบันมีหลายเว็บไซต์ที่จัดให้มีการดาวน์โหลดโปรแกรมได้ฟรี เช่นhttp://www.download.com 
                2. การอัพโหลดไฟล์ (Upload File) การอัพโหลดไฟล์คือการนำไฟล์ข้อมูลจากเครื่องของผู้ใช้ไปเก็บไว้ในเครื่องที่ให้บริการ (Server) ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เช่น กรณีที่ทำการสร้างเว็บไซต์ จะมีการอัพโหลดไฟล์ไปเก็บไว้ในเครื่องบริการเว็บไซต์ (Web server ) ที่เราขอใช้บริการพื้นที่ (web server) โปรแกรมที่ช่วยในการอัพโหลดไฟล์เช่น FTP Commander
social-bookmarking-sites
4. การแลกเปลี่ยนข่าวสาร (USENET)
  การสื่อสารประเภทนี้มาที่มาจากกระดานประกาศข่าว หรือ   Bulletin Board    กล่าวคือ ผู้ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน จะรวมกลุ่มกันตั้งเป็นกลุ่มข่าวของแต่ละประเภท     เมื่อมีข้อมูลใหม่ที่จะเป็น
ประโยชน์ต่อสมาชิกผู้อื่น หรือมีปัญหาหรือคำถามที่ต้องการความช่วยเหลือหรือคำตอบ ผู้นั้นก็จะส่งข้อมูลของตน
เข้าไปติดประกาศไว้ในอินเตอร์เน็ต โดยเครื่องที่ทำหน้าที่ติดประกาศ คือ News Server เมื่อสมาชิกอื่นอ่านพบ ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมหรือมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือมีคำตอบที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ได้ สมาชิกเหล่านั้นก็จะส่งข้อมูล
ตอบกลับไปติดประกาศไว้เช่นกัน
internet
5. การเข้าใช้เครื่องระยะไกล (Telnet)
   Telnet เป็นการขอเข้าไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตจากระยะไกล โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องไปนั่งอยู่หน้าเครื่อง เครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนี้อาจอยู่ภายในสถานที่เดียวกับผู้ใช้ หรืออยู่ห่างกันคนละทวีปก็ได้ แต่ทั้งนี้ผู้ใช้ต้องมี account และรหัสผ่านจึงจะสามารถเข้าใช้เครื่องดังกล่าวไดส่วนคำสั่งในการ ทำงานนั้นขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการของเครื่องที่เข้าไปขอใช้
8216
6. การสนทนาผ่านเครือข่าย (Talk หรือ Chat)
  เป็นการติดต่อสื่อสารแบบ 2 ทาง คือสามารถสื่อสารโต้ต อบกันได้ทันทีเหมือนการใช้โทรศัพท์ ในการสนทนาผ่านเครือข่ายนี้สามารถทำได้ทั้งแบบ Text-based และ Voice-based โดยในระยะแรกจะจำกัด
เฉพาะ Text-based คือใช้วิธีการพิมพ์เป็นข้อความในการสื่อสารโต้ตอบระหว่างกัน โปรแกรมที่นิยมใช้คือ Talk และ IRC (Internet Relay Chat) ต่อมาเมื่อมีการพัฒนามากขึ้นทั้งด้าน Hardware และ Softwareทำให้ปัจจุบัน เราสามารถสทาอสารกันทาง Voice-based ได้ด้วย โปรแกรมที่ใช้ในการสื่อสารประเภทนี้ เช่น NetMeeting ของไมโครซอฟต์ หรือ Inter Phone ของ Vocaltec ฯลฯ
https://mimmira.wordpress.com

การใช้งานโปรแกรมค้นหา

แต่เดิม อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงวิชาการในรูปแบบของนิวส์กรุ๊ป(news group) ซึ่งสมาชิกของกลุ่มสามารถเข้าไปอ่านและเขียนข้อความได้ ต่อมามีข่าวสารประเภทนี้เพิ่มมากขึ้น จึงมีการจัดประเภทและมีเครื่องมือช่วยค้นหาที่มีชื่อว่าโกเฟอร์(gophor) ต่อมาได้มีนวัตกรรมเกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ต นั่นคือระบบเวิลด์ไวด์เว็บ(World Wide Web:WWW)
เทคโนโลยีใหม่ที่นำมาใช้ในระบบ www ประกอบด้วย
1.  ภาษา HTML (Hypertext Markup Language)ที่กำหนดรูปแบบการแสดงผลบนจอภาพ
2.  ซอฟต์แวร์เว็บเซอร์เวอร์ (Web Sever Software) ที่จัดการเกี่ยวกับการรับและส่งแฟ้มข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
3.  โปรแกรมเว็บเบราเซอร์ ที่ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ทำหน้าที่จัดรูปแบบข้อมูลตามที่ระบุในคำสั่งภาษา HTML และนำไปแสดงบนผลจอ เว็บบราวเซอร์เช่น Safari 5, Internet Explorer 9 Beta, Mozilla Firefox 4 Beta, Google Chrome, Opera 10.6+
4.  ระบบไฮเปอร์ลิงค์(Hyperlink) ที่สามารถทำการเชื่อมโยงเอกสารต่า ๆ ๖ทั้งที่เป็นข้อความและภาพ) ที่เก็บไว้ต่างที่กัน
5.  ภาพกราฟริก เป็นข้อมูลรูปแบบใหม่ที่สามารถรับส่งผ่านเครือข่ายและโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ สามารถนำไปแสดงบนจอภาพได้
6.  ภาพกราฟิกสามารถทำให้เป็นภาพเคลื่อนไหวได้
นวัตกรรมทางเทคโนโลยีดังกล่าวทำให้เกิดแหล่งข้อมูลที่เรยกว่า เว็บไซต์ (Web site)เกิดขึ้นมากมายทั่วโลกและดลกทั้งโลกกลายเป็นโลกไร้พรมแดนสำหรับข้อมูลข่าวสารที่อยู่ภายในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์แต่ละแห่งมีที่ชื่อ-ที่อยู่เรียกว่า URL(Universal Resource Locator)ซึ่งจะบ่งชี้ถึงแหล่งที่อยู่ของเว็บไซต์นั้นนอินเตอร์เน็ตเช่น http://www.google.com ผู้ใช้จะเข้าถึงเว็บไซต์ที่ต้องการได้โดยการพิมพ์ URL ลงไปในช่อง address ของโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์
เง็บไซต์(web site) แต่ละแห่งจะมีเอกสารที่เรียกว่า เว็บเพจ(web page) เก็บข้อมูลเป็นจำนวนมากเอกสารเหลานี้อาจจะมีองค์ประกอบเป็น ข้อความ รูปภาพ ภาพเคลือ่นไหว เสียง และวีดีทัศน์และอาจมีการเชื่อมโยงด้วยระบบไฮเปอร์ลิงค์ไปยังเอกสารอื่น ๆ อีก
วิธีการสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ด้วยการใช้ Search Engine เป็นการบริการค้นหาข้อมูลที่ต้องการโดยมีโปรแกรมพิเศษที่เรียกว่า โปรแกรเรียกค้นข้อมูล Search Engine จะมีหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำหรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่กำหนด คลิกปุ่มค้นหา เท่านั้น ข้อมูลอย่างย่อ ๆ และรายชื่อเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องจะปรากฏให้เราเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ทันที
Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการที่จะเข้าไปหาข้อโดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อยเราจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่จะเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป
1. การสืบค้นแบบใช้คีย์เวิร์ด ใช้ในกรณีที่ต้องการค้นข้อมูลโดยใช้คำที่มีความหมายตรงกับความต้องการ โดยมากจะนิยมใช้คำที่มีความหมายใกล้เคียงกับเนื้อเรื่องที่จะสืบค้นข้อมูล มีวิธีการค้นหาได้ดังนี้
1.1 เปิดเว็บเพจ ที่ให้บริการในการสืบค้นข้อมูล ตัวอย่างเช่น
http://www.google.co.th เป็นเว็บที่ใช้สืบค้นข้อมูลของต่างประเทศ ข้อดีคือ ค้นหาง่าย เร็ว
http://www.yahoo.com เป็นเว็บที่ใช้สืบค้นที่ดีตัวหนึ่งซึ่งค้นหาข้อมูลง่าย และข้อเด่นคือภายในเว็บของ http://www.yahoo.com เองจะมีฟรีเว็บไซต์ ที่รู้จักกันในนาม http://www.geocities.com ซึ่งมีจำนวนเว็บมากมาย ให้ค้นหาข้อมูลเองโดยเฉพาะ
http://www.sanook.com เป็นเว็บของคนไทย
http://www.siamguru.com เป็นเว็บของคนไทย
โดยพิมพ์ช่องเว็บที่ช่อง Address ดังตัวอย่างซึ่งใช้ http://www.google.co.th
1.2 ที่ช่อง ค้นหา พิมพ์ข้อความต้องการจะค้นหา ในตัวอย่างจะพิมพ์คำว่า แหล่งท่องเที่ยวเมืองโคราช
1.3 คลิกปุ่ม ค้นหาด้วย Google
1.4 จากนั้นจะปรากฏรายชื่อของเว็บที่มี
1.5 คลิกเว็บที่จะเรียกดูข้อมูล
2. หลักการใช้คำในการค้นหาข้อมูล
การสืบค้นแบบใช้คีย์เวิร์ด เช่น ถ้าต้องการจะสืบค้นเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเครื่องคอมพิวเตอร์ การค้นหาจึงต้องการเนื้อหาที่เจาะลึก การสร้างคำคีย์เวิร์ด ต้องใช้คำที่เจาะลึกลงไปเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เฉพาะคำมากยิ่งขึ้น
2.1 การใช้คำที่คิดว่าจะมีในเว็บที่ต้องการจะค้นหา เช่น ต้องการจะหาข้อมูลเกี่ยวกับ บุคคล ที่ชื่อว่า นาย อุบล ถ้าเราพิมพ์ข้อมูลที่ช่อง Search ว่า อุบล แล้วทำการค้นข้อมูล Search Engine จะทำการค้นหาคำ โดยจะค้นหารวมทั้งคำว่า จังหวัดอุบล อุบลราชธานี คนอุบล วิทยาลัยเกษตรอุบล เทคโนโลยีอุบล ซึ่งเราจะเจอะ ข้อมูลจำนวนมาก ดังนั้นการใช้คำในการค้นหาข้อมูลจึงต้องใช้คำเฉพาะเพื่อให้ได้ข้อมูล ที่น้อยลง เช่น อาจจะพิมพ์คำว่า นาย อุบล พิมลวรรณ ซึ่งข้อมูลจะมีจำนวนที่น้อยลง
2.2 ใช้เครื่องหมาย คำพูด  (“ _ ”) เพื่อกำหนดให้เป็นกลุ่มคำ เช่น จะค้นหาคำ ชื่อหนังสื่อที่ชื่อว่า โปรแกรม PhotoShop สังเกตว่าคำที่จะค้นหา จะเป็นคำที่ต้องเว้นวรรค  แต่เมื่อมีการสืบค้นด้วย Search Engine ระบบจะค้นหาคำแบ่งเป็นสองคำ คือคำว่า โปรแกรม และคำว่า PhotoShop จึงทำให้ข้อมูลที่ได้ผิดพลาด ดังนั้นการสร้างคำ จึงต้องกำหนดคำด้วยเครื่องหมายคำพูด จึงใช้คำว่า “โปรแกรม PhotoShop” ในการค้นหาแทน
2.3ใช้เครื่องหมาย ลบ (-) ไว้หน้าคำที่ไม่ต้องการจะให้ปรากฏอยู่ในรายการแสดงผลของการค้นหา เช่น ต้องการหาชื่อโรงเรียน แต่ทราบแล้วว่าโรงเรียนที่จะค้นหาไม่ใช้โรงเรียนอนุบาล จึงต้องยกเลิกคำว่าอนุบาล โดยพิมพ์คำว่า โรงเรียน  -อนุบาล ผลที่ได้จะทำให้มีเฉพาะคำว่า โรงเรียน ทั้งหมดแต่จะค้นหาคำว่า อนุบาล (*การพิมพ์เครื่องหมาย ลบกับคำที่จะยกเลิกต้องติดกัน มิฉะนั้นระบบจะเข้าใจว่าจะค้นหาคำ 3 คำ คือ คำว่า โรงเรียน คำว่า + และคำว่า อนุบาล*)
การสืบค้นข้อมูลภาพ
ในกรณีที่นักเรียนต้องการที่จะค้นหาข้อมูลที่เป็นภาพ เพื่อนำมาประกอบกับรายงาน มีวิธีการค้นหาไฟล์ภาพได้ดังนี้
1. เปิดเว็บ http://www.google.co.th
2. คลิกตัวเลือก รูปภาพ
3. พิมพ์กลุ่มชื่อภาพที่ต้องการจะค้นหา (ตัวอย่างทดลองหาภาพเกี่ยวกับ ปราสาทหินพิมาย)
4. คลิกปุ่ม ค้นหา
5. ภาพทีค้นหาพบ
6. การนำภาพมาใช้งาน ให้คลิกเมาส์ด้านขวาที่ภาพ > Save Picture asหรือ save image as
7. กำหนดตำแหน่งที่จะบันทึกที่ช่อง Save in
8. กำหนดชื่อที่ช่อง File Name
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การใช้งานโปรแกรมค้นหา

มารยาทและข้อปฏิบัติในการใช้งานอินเทอร์เน็ต


ผลกระทบของอินเทอร์เน็ต
     อินเทอร์เน็ตทำให้การสื่อสารข้อมูลเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว ทำให้มีบทบาทและสำคัญเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ และ
มีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบดังนี้

ด้านบวก
     1การติดต่อสื่อสารสะดวก รวดเร็ว ประหยัด     2พัฒนาและส่งเสริมคุณภาพทางการศึกษา     3เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน


ด้านลบ     1มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม
     2
เกิดช่องว่างระหว่างคนในสังคม
     3
เกิดการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
     4. การเกิดปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์


ข้อปฏิบัติในการใช้อินเทอร์เน็ต

     อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่แหล่งข้อมูลต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ดังนั้นผู้ใช้
อินเทอร์เน็ตจึงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับมารยาท ข้อปฏิบัติ รวมไปถึงกฎหมายในการใช้งานอินเทอร์เน็ต 
เพื่อให้การใช้งานเครือข่ายร่วมกับผู้อื่นเกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ มารยาทและข้อควรปฏิบัติในการใช้งาน
อินเทอร์เน็ต ได้แก่
     1. ใช้ภาษาถูกต้องและเหมาะสมกับกาลเทศะ ปัจจุบันมีการใช้ภาษาบนอินเทอร์เน็ตเป็นภาษาสะกดแบบย่อและซึ่ง
เป็นการใช้ที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับคู่สนทนา
     2. ใช้คำสุภาพ ไม่ใช้คำหยาบ ไม่สื่อความหมายที่สร้างความไม่พอใจแก่คูสนทนา
     3. เคารพในสิทธิ์และข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น เช่น ไม่แอบอ่านอีเมลผู้อื่น ไม่แอบใช้ ชื่อผู้ใช้ คนอื่น ไม่เผยแพร่
ข้อมูลส่วนตัวผู้อื่น
     4. ปฏิบัติตามข้อตกลงการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ให้ไว้กับครู หรือผู้ปกครอง เช่น จำนวนชั่วโมงต่อวันที่ใช้งาน ใช้
อินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นประโยชน์ในการเรียน
     5. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของตนและครอบครัว ข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ให้กับบุคคลอื่นที่ไม่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต
     6. ไม่นัดหมายกับบุคคลแปลกหน้าที่สนทนาทางอินเทอร์เน็ตไม่เปิดอีเมลหรือรับไฟล์ที่ส่งจากบุคคลที่ไม่รู้จัก
     7. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส เพื่อตรวจสอบไฟล์และปรับปรุงโปรแกรมอย่างสม่ำเสมอ
     8. การทำธุรกรรมบนเว็บ ต้องตรวจสอบเว็บไซต์ เพื่อป้องกันเว็บไซต์ปลอมที่จะขโมยข้อมูล

ระเบียบข้อบังคับในการใช้อินเทอร์เน็ต
      แม้ว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตจะส่งผลดีในด้านของการรับรู้ข่าวสารและความรู้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในทางกลับ
กันพบว่าข้อมูลข่าวสารนั้นทั้งด้านบวกและลบการป้องกันภัยจากอินเทอร์เน็ต
          1. เคารพสิทธิ์และข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น ได้แก่ ไม่สอดแนม แก้ไข ดูแฟ้มข้อมูล ของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาต
          2. ปฏิบัติตาม กฎ ระเบียบ กติกา มารยาทตามข้อตกลงของสถานที่หรือหน่วยงาน ที่กำหนดไว้ในการเล่น
อินเทอร์เน็ต ไม่ส่งเสียงหรือเปิดเสียงคอมพิวเตอร์ รบกวนคนอื่นขณะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
          3. ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมาย เช่น ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อโจรกรรมข่าวสาร ไม่คัดลอกโปรแกรมหรือ
ผลงานคนอื่นมาเป็นของตนเอง ไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานเท็จ
          4. บอกแหล่งที่มาของข้อมูลเมื่อนำข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมาใช้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มารยาทและข้อปฏิบัติในการใช้งานอินเทอร์เน็ต

https://sites.google.com/site/poxsw2/internet/regularity-internet

ความปลอดภัยในการใช้งานอินเทอร์เน็ต



ปัจจุบันการใช้งานระบบอินเทอร์เน็ตมีประโยชน์อย่างมาก จึงทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างแพร่หลาย บุคคลที่ใช้อินเทอร์เน็ตจึงมีหลายจุดประสงค์ ทั้งใช้งานในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และการใช้งานที่เป็นผลร้ายต่อบุคคลอื่น ดังนั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้ทำการแปลและเรียบเรียงวิธีการใช้งาน อินเทอร์เน็ตเบื้องต้น สำหรับผู้ที่เริ่มใช้งาน เพื่อจะได้ปลอดภัย จากภัยร้ายบนอินเทอร์เน็ต
1. เมื่อเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ควรปรึกษาผู้ใหญ่เกี่ยวกับแนวทางในการใช้ในการใช้อินเทอร์เน็ตต่อวัน และเมื่อผู้ใช้มีความรู้ และคุ้นเคยในการใช้งานจริงบ้างแล้ว จึงค่อยปรับเปลี่ยนแนวทางในใช้เวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตให้เหมาะสมต่อไป และควรเขียนแนวทางในการใช้อินเทอร์เน็ตติดไว้ใกล้กับคอมพิวเตอร์ เพื่อความสะดวกในการจัดระบบการใช้อินเทอร์เน็ต
2. อย่าให้รหัสลับแก่ผู้อื่น
3. ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ ทุกครั้งที่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลอื่นในอินเทอร์เน็ต
4. ตรวจทานว่าได้พิมพ์ชื่อเว็บไซด์ถูกต้องเสียก่อน แล้วจึงกด Enter เพื่อจะได้เข้าเว็บไซด์ที่ต้องการได้ถูกต้อง
5. ปรึกษาผู้ใหญ่ ก่อนเข้าใช้ห้องสนทนาบนอิน เทอร์เน็ต เพราะว่าห้องสนทนาแต่ละห้องมีการสนทนาที่แตกต่างกัน บางห้องอาจไม่เหมาะสม
6. ถ้าพบเห็นข้อความ หรือสิ่งใด ที่ไม่เหมาะสม หรือ คิดว่าไม่ดีต่อการใช้อินเทอร์เน็ต ควรออกจากเว็บไซด์นั้น และแจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบทันที
7. อย่าส่งรูปภาพของตนเอง หรือรูปภาพของผู้อื่น ให้คนอื่นทางอีเมลล์ ยกเว้นได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่เสียก่อน
8. ถ้าได้รับอีเมลล์ที่มีข้อความไม่เหมาะสมหรือทำให้ไม่สบายใจ ไม่ควรโต้ตอบ และควรบอกให้ผู้ใหญ่ทราบก่อนทันที
9. บนอินเทอร์เน็ต ทุกอย่างที่คุณเห็นไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป
10. อย่าบอกอายุจริงของคุณกับคนอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน
11. อย่าบอกชื่อจริง และนามสกุลจริงกับบุคคลอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษา และขออนุญาตผู้ใหญ่ก่อน
12. อย่าบอกที่อยู่ ของคุณกับบุคคลอื่น
13. ปรึกษาผู้ใหญ่ก่อนทุกครั้งที่จะทำการลงทะเบียนใด ๆ บนอินเทอร์เน็ต
14. อย่าให้หมายเลขของบัตรเครดิตการ์ดของคุณกับบุคคลอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน
15. ขณะที่ใช้อินเทอร์เน็ต ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรา คุณสามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการได้
16. อย่าเปิดเอกสารหรืออีเมลล์หรือไฟล์ จากบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก เพราะอาจมีไวรัส หรือข้อมูลไม่เหมาะสม มากับเอกสารหรืออีเมลล์นั้น
17. ควรวางเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในสถานที่ที่สะดวกในการดูแลเอาใจใส่ เช่น ห้องนั่งเล่น หรือ ห้องส่วนรวม
18. อย่าตัดสินใจที่จะไปพบบุคคลอื่นซึ่งรู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ และถ้ามีการนัดพบกันไม่ควรไปเพียงลำพัง ควรมีผู้ใหญ่หรือคนที่รู้จักหรือเพื่อนไปด้วย และควรนัดพบกันในที่สาธารณะ
19. บนอินเทอร์เน็ตข้อมูลต่าง ๆ ที่เราพิมพ์ลงไป บุคคลอื่นที่เราไม่รู้จักสามารถล่วงรู้ได้ จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง
20. อย่าบอกเบอร์โทรศัพท์ของคุณกับบุคคลอื่น ในอินเทอร์เน็ต
21. พูดคุยกับผู้ใหญ่อย่างสม่ำเสมอ เกี่ยวกับสถานที่ กิจกรรม และสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็น บนอินเทอร์เน็ตที่ได้พบเห็น ระหว่างการใช้อินเทอร์เน็ต
22. ใช้ชื่อที่ต่างจากชื่อจริง และชื่อเล่นของตัวเองเพื่อใช้แทนตัวเอง ในขณะใช้อินเทอร์เน็ต
23. ควรปรึกษาผู้ใหญ่ ถ้าต้องการที่จะให้อีเมลล์แอดเดรสกับบุคคลอื่นในอินเทอร์เน็ต
24. ถ้ามีบุคคลอื่นที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป ไม่ควรให้ข้อมูล และควรหยุดการสนทนานั้น
25. อย่าบอกชื่อ ที่อยู่ของโรงเรียนของคุณ กับบุคคลอื่นบนอินเทอร์เน็ต
26. ขณะใช้อินเทอร์เน็ตไม่ควรเชื่อคำพูดหรือข้อมูลของบุคคลอื่น เพราะการปลอมตัวทำได้ง่าย และอาจไม่เป็นความจริง
27. อย่าทำสิ่งผิดกฎหมายบนอินเตอร์เน็ต เช่น ถ้าไม่เคยใช้บัตรเครดิต ก็ไม่ควรกรอกข้อมูลในการซื้อของ โดยใช้บัตรเครดิต บนอินเทอร์เน็ต
28. เมื่อมีใครบางคนให้เงินหรือของขวัญ ฟรี ๆ กับคุณ ควรบอกปฏิเสธ และบอกให้ผู้ใหญ่ทราบทันที
29. อย่าใช้คำไม่สุภาพ ขณะใช้อินเทอร์เน็ต
30. คุณสามารถออกจากอินเทอร์ได้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่ต้องการใช้อินเทอร์เน็ต
https://surasittik.wordpress.com/2012/10/12/assignment-3/































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น